ร้องนักข่าว..ร้อง สส.ก้าวไกล ครูเกษียณนับร้อยถูกหลอกลงทุนซื้อหุ่นยนต์เฝ้าบ้านลงทุนซื้อมันสำปะหลัง หวังปลดหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ สุดท้ายเป็นแค่โครงการทิพย์สูญเงินรวมกว่า 100 ล้านบาท
ครูเกษียณนับร้อยถูกหลอกลงทุนซื้อหุ่นยนต์เฝ้าบ้านลงทุนซื้อมันสำปะหลัง หวังปลดหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ สุดท้ายเป็นแค่โครงการทิพย์สูญเงินรวมกว่า 100 ล้านบาท
วันนี้( 22 ม.ค.67 ) ที่สำนักงานชมรมสื่อมวลชนภาคเหนือ หมู่ที่ 2 ตำบลป่าสัก อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ตัวแทนกลุ่มครูเกษียณในพื้นที่จังหวัดลำพูนกว่า 20 คน นำโดยนาย
ชัยรัตน์ รัตนมาลา อายุ 63 ปี อดีตครูตำแหน่งรอง ผอ.โรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดลำพูน ได้รวมตัวกันเดินทางมาร้องเรียนกับสื่อมวลชน
เพื่อขอความเป็นธรรมและเพื่อเร่งรัดคดี หลังจากถูกหลอกลงทุนซื้อหุ่นยนต์เฝ้าบ้านลงทุนซื้อมันสำปะหลัง หวังปลดหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ สุดท้ายเป็นแค่โครงการทิพย์สูญเงินรวมกว่า 100 ล้านบาท และมีการแจ้งความดำเนินคดีเวลาผ่านไป แต่คดีกลับไม่คืบหน้าหนำซ้ำตัวการสำคัญกลับถูกกันออกไม่เป็นผู้ต้องหา
นายชัยรัตน์ ได้กล่าวเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2564 ตามที่สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ลำพูน จำกัด จำนวน 132 คน ได้รับการซักชวนจากนายมานิตย์(ขอสงวนนามสกุล) กลุ่มนายทุนพร้อมกับนายสมคิด(ขอสงวนนามสกุล)อดีตประธานกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูลำพูนจำกัด และในฐานะที่ปรึกษาของบริษัทนครไทยธุรกิจ จำกัด โดยมีนายภาวัต (ขอสงวนนามสกุล)ประธานกรรมการ หรือกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ของบริษัทนครไทยธุรกิจ จำกัดและบริษัทรัตนาภรณ์ แอ็นเนอร์จี จำกัด ให้กู้เงินสหกรณ์ออมทรัพย์ครูลำพูน จำกัด จำนวนหลายโครงการ เช่น โครงการพัฒนาอาชีพครู โครงการเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพ โครงการแก้ไขปัญหาด้านการเงินและเศรษฐกิจของสมาชิก และเงินกู้ฉุกเฉินกระแสรายวัน เป็นต้น
ซึ่งสมาชิกสหกรณ์ได้หลงเชื่อและนำเงินกู้ต่างๆ จากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูลำพูน เช่น กู้เงินตาย 30 เท่า ประมาณ30 เงินกระดูก บำเหน็จดงรงชีพ กู้เงินร้อยละ10 ร้อยละ20 นำไปลงทุน เพื่อหวังเงินปันผลที่ได้มากกว่า เพราะโครงการต่างๆที่ถูกชักชวนไปลงทุนในโครงการต่างๆ เช่นโครง
การหุ่นยนต์ โครงการมันสำปะหลัง โครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง โดยอ้างว่าจะมีกลุ่มทุนจีนมาอยู่ในพื้นที่โครงการ โครงการรถยนต์ โครงการร้านค้า โครงการเครื่องทำน้ำดื่ม หลายคนหวังจะได้เงินมาปิดหนี้สหกรณ์ที่เป็นหนี้อยู่ตั้งแต่ตอนรับราชการ บางรายต้องยอมลงทุนไปกู้เงินจากนายทุนนอกระบบมาเสียดอกเบี้ยร้อยละ 10 บาท บางคนใช้บัตรเครดิตเงินสดกดออกมา บางคนใช้เงินก้อนสุดท้ายหลังเกษียณไปร่วมลงทุน รวมเงินทั้งหมดเกิน 60 ล้านบาทสำหรับผู้ที่มาแจ้งความแต่ถ้าหากรวมกับยอดเงินคนที่ไม่กล้ามาแจ้งความเพราะอีกรวม 132 ราย คาดว่าความเสียหายน่าจะร่วมๆ 100 ล้านบาท แต่สุดท้ายเป็นเพียงแค่โครงการทิพย์ ไม่มีอยู่จริง สร้างความเสียหายแก่ครูที่เกษียณอายุราชการที่เป็นหนี้สหกรณือยู่ที่หวังจะได้เงินมาปลดหนี้กลับเป็นหนี้มากกว่าเดิม เป็นการซ้ำเติม มีครูบางคนคิดมากจนตรอมใจตายไปแล้ว 1 ราย หนำซ้ำหลายรายยังต้องถูกฟ้องร้องเพราะไม่สามารถหาเงินไปคืนได้ ส่งผลเสียต่อครอบครัว รวมถึงสภาพจิตใจของทุกคนเพราะอายุมากแล้วยังต้องมาเป็นหนี้เพิ่มและเกิดความเครียด
หลังจากทราบว่าไม่ได้เงินตามที่คาดหวังและแน่ใจว่าพวกเราถูกหลอกแน่ๆแล้ว จึงได้รวมตัวกันไปแจ้งความเมื่อกรกฏาคม 2566 โดยระบุชัดเจนว่าใครบ้างที่ร่วมขบวนการโกงในครั้งนี้ แต่ในใบบันทึกแจ้งความกลับไม่มีชื่อบางคนที่ร่วมขบวนการเช่น นายสมคิด อดีตประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ ผู้ที่สร้างความน่าเชื่อถือในฐานะประธานสหกรณ์ เป็นผู้ชักชวนพวกตนไปลงทุน และสร้างภาพในการเดินทางไปศึกษาดูงานที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อสร้างความมั่นใจสร้างความเชื่อก่อนลงทุน นายสมคิดได้ถูกกันออกไปไม่ได้เป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด ทำให้พวกเรามีข้อข้องใจว่าทำไมเขาจึงถูกกันออกไปไม่มีรายชื่อที่ถูกกล่าวหา ทำให้พวกตนไม่เชื่อถือข้าราชการบางคน จึงต้องพากันมาร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน แล้วหลังจากนั้นพวกเราจะเดินทางไปร้องกับนายวิทวิสิทธิ์ ปันสวนปลูก สส.ลำพูน เขต 1 ที่สำนักงาน
หลังจากนั้นจึงพากันเดินทางไปพบ สส.ลำพูน ซึ่งมีการมอบเอกสารหลักฐานต่างๆที่เกี่ยวข้องให้ สส.และเข้าร่วมประชุมหารือกันกว่า 2 ชั่วโมง ซึ่งนายวิทวิสิทธิ์ ปันสวนปลูก สส.ลำพูน เขต 1 ได้กล่าวเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เบื้องต้นได้รับการร้องเรียนจากข้าราชการครูเรื่องการหลอกนำเงินไปลงทุนเอกสารเบื้องต้นที่ได้รับวันนี้ความเสียหายประมาณ 20 ล้านบาท แต่ถ้าหากร่วมทั้งหมดคาดว่าน่าจะเกือบๆ 100 ล้านบาท มีข้าราชการครูที่มาให้ข้อมูลเบื้องต้น 56 ราย แต่รวมทั้งหมดทราบว่ามีผู้เสียหาย 132 ราย ซึ่งตนเองจะได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดไปให้กับทีมกฎหมายของพรรคก้าวไกล เพื่อจะหาช่องทางช่วยเหลือข้าราชครูต่อไป