จนท.การไฟฟ้า ตำรวจ และปกครอง สนธิกำลัง บุกจับแก๊งลักไฟหลวงขุดเหรียญบิตคอยน์ ยึดอุปกรณ์กว่า 360 เครื่อง มูลค่าความเสียหายกว่า 13 ล้านบาท
จนท.การไฟฟ้า ตำรวจ และปกครอง สนธิกำลัง บุกจับแก๊งลักไฟหลวงขุดเหรียญบิตคอยน์ ยึดอุปกรณ์กว่า 360 เครื่อง มูลค่าความเสียหายกว่า 13 ล้านบาท
เวลา 18.00 น.วันที่ 2 พ.ค 66 พ.ต.ท.บุญชาย แสนชัชวาล รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.บ้านธิ จ.ลำพูน ร่วมกับนายศรชัย ไชยวงศ์ ผู้ข่วยหัวหน้าแผนกมิเตอร์และหมัอแปลงสนงเขต 1 ภาคเหนือเชียงใหม่ พร้อมด้วยกำลังสนธิเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าและตำรวจ สภ.บ้านธิ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอบ้านธิ เข้าตรวจสอบ และตรวจยึด อุปกรณ์ เครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องขุดเงินดิจิทัลโดยแอบใช้กระแสไฟฟ้าไม่ผ่านหม้อมิเตอร์ ต่อเข้าเครื่องขุดเงินดิจิทัล สร้างความเสียหายให้รัฐ ประมาณ 13ล้านบาท
พร้อมยึดเครื่องขุด 360 เครื่อง มูลค่าอุปกรณ์ประมาณ 15 ล้านบาท รวมมูลค่าค่าเสียหายของการไฟฟ้าประมาณ 13 ล้านกว่าบาท เหตุเกิดที่โกดังภายในสวนลำไย หลังหมู่บ้านสันต้นค่า หมู่ที่ 12 ตำบลบ้านธิ อำเภเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน
หลังตรวจสอบทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้นำตัวผู้ควบคุมดูแลระบบ เครื่องคิดเงินดิจิตอล ที่นายบุญรอด (ขอสวงนนามสกุล)อายุ 70 ปี ผู้รับจ้างเฝ้าโกดัง
ที่อ้างว่าตนรับจ้างเฝ้าสวน เจ้าของสวนเป็นคนกรุงเทพมาซื้อสวนจากชาวบ้านในพื้นที่ไว้เมืองกว่า 10 ปีแล้ว ตนเพียงรับจ้างเฝ้าเดือนละ 5000 บาท ต่อมาเมื่อ 6 เดือนก่อนมีคนมาเช่า และให้เงินตนเองเพิ่มอีกเดือนละ 3000 บาท
ซึ่งตนก็ไม่ทราบชื่อและไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรเก็บสินค้าอะไรไว้ เพราะมีหน้าที่แค่ดูแลภายนอกโกดัง ตัดหญ้า ทำความสะอาดด้านนอก และคนมาเช่าโกดังตนก็ไม่ทราบว่าเอาสินค้าอะไรมาเก็บ เพราะไม่เคยเข้าไปข้างใน
นายศรไชย ไชยวงค์ ตัวแทนเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า กล่าวว่า มีการตรวจสอบการแอบใช้กระแสไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต มีการดัดแปลงเป็นห้อง ห้องเก็บเครื่องคอมพิวเตอร์หรือ Server และมีเครื่องขุดเหรียญดิจิทัลบิตคอยน์ กว่า 360 เครื่อง
พบผู้ดูแล 1 รายพบว่าภายในโกดัง ดังกล่าว ได้แอบใช้กระแสไฟฟ้า โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยวัดกระแสไฟฟ้ามีค่ากระแสสูงกว่ามิเตอร์ที่ใช้
และเป็นการต่อตรงใช้ไฟฟ้าโดยไม่ผ่านเครื่องวัดของการไฟฟ้า และไม่ได้รับอนุญาตจากการไฟฟ้าทำให้การไฟฟ้าได้รับความเสียหาย อุปกรณ์ที่ตรวจยึดไว้ตรงนี้มูลลค่าประมาณ 15 ล้านบาท
รวมมูลค่า ส่วนมูลค่าความเสียหายของการไฟฟ้าที่ถูกขโมยไฟฟ้าประมาณกว่า 13 ล้านบาท ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะได้ทำการสืบสวนขยายผลต่อไปเพื่อหาต้นตอและจับกุมเครือข่าย ตามขั้นตอนต่อไป
ทีมข่าวสังคมรายงาน
(สงวนลิขสิทธิ์ ภาพ-ข่าว)